• Field Epidem
  • COVID-19
  • IPC
  • Cottage
  • Provider
  • Heat Injury
  • SANITATION
  • *Army*
    • Task Force*
  • WEB Link
  • *CD situation*
  • Handouts*
    • Infographic
  • Healthy
Alexios BHOPHKRIT
  • Field Epidem
  • COVID-19
  • IPC
  • Cottage
  • Provider
  • Heat Injury
  • SANITATION
  • *Army*
    • Task Force*
  • WEB Link
  • *CD situation*
  • Handouts*
    • Infographic
  • Healthy

ระบาดวิทยาภาคสนาม
(Field Epidemiology)

Picture

โรคติดเชื้ออุบัติใหม่ อุบัติซ้ำ

สถานการณ์การระบาดของ Monkeypox ทั่วโลก
สรุป Monkeypox situation by US.CDC
Picture
โรคฝีดาษวานร (Monkeypox) version 7 (2 ส.ค. 65)
โรคฝีดาษวานร (Monkeypox) version 6 (25 ก.ค. 65)
โรคฝีดาษวานร (Monkeypox) version 5 (22 ก.ค. 65)
โรคฝีดาษวานร (Monkeypox) version 4 (20 มิ.ย. 65) 
โรคฝีดาษวานร (Monkeypox) version 3 (13 มิ.ย. 65)
บทความฝีดาษวานร โดย WHO
บทความฝีดาษวานร โดย ECDC
Clinical management and infection prevention and control for monkeypox: Interim rapid response guidance

องค์ความรู้ทางระบาดวิทยาภาคสนาม


Picture
Delay response to an outbreak and less opportunity for control.
Picture
Early response to an outbreak and early control a disease.
ตำราระบาดวิทยาของ WHO 
Picture

การเปลี่ยนผ่านจาก Epidemic (โรคระบาด) สู่ Endemic (โรคประจำถิ่น) 
ควรพิจารณาตามองค์ประกอบสามเส้าทางระบาดวิทยาดังนี้​

Picture
Picture
Picture
1) Susceptible host (ผู้ที่มีภูมิไวรับต่อโควิด)
1.1) ต้องมีภูมิคุ้มกันเพียงพอ ซึ่งมาจากการฉีดวัคซีนได้จำนวนมากกว่า 90% (แปรผันตาม R0) และหรือ การติดเชื้อในประชากรของเรา ระดับภูมิคุ้มกันต้องมีมากพอที่จะไม่ทำให้เกิดอาการรุนแรง หรือลดโอกาสติดเชื้อซ้ำ หรือลดโอกาสการแพร่เชื้อได้มากๆ หรือ ลดโอกาสที่เชื้อจะอยู่ในร่างกายได้นาน และร้อยละของคนมีภูมิต้องมากพอที่จะลดโอกาสการระบาดแล้วมีอาการรุนแรง (ไม่ใช่ป้องกันการระบาด เพราะป้องกันไม่ได้กับวัคซีนที่ไม่ได้ป้องกันโรค) ดังนั้น ในขณะที่วัคซีนโควิด 19 ยังป้องกันการติดเชื้อไม่ได้ดีนัก แค่ลดความรุนแรง ต้องเร่งนำเข้าวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ เช่น วัคซีนแบบพ่น ประชาชนเข้าถึงง่าย มาใช้ร่วมด้วย
1.2) ต้องมีการประเมินระดับความร่วมมือในการดำเนินตามมาตรการหลักในการป้องกันการติดเชื้อด้วย (Universal prevention และ Covid-free setting) เพราะเป็นมาตรการหลักที่ตัดช่องทางการแพร่โรค หากไม่ได้รับความร่วมมือที่ดี >80% ของประชากร หรือ สถานบริการ ก็น่าจะเกิด epidemic ได้อีกเป็นครั้งคราว ใหญ่เล็กขึ้นกับลักษณะสถานบริการหรือกิจกรรมการรวมตัวกัน
1.3) ต้องมีการประเมินความเสี่ยงของประชากร โดยอาศัยข้อมูลทางระบาดวิทยาในพื้นที่ บริบททางสังคม วัฒนธรรมการดำเนินชีวิต หรือปัจจัยทางสังคมอื่นใดที่มาเอื้อให้ประชาชนมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสโรค

2 SARS-CoV-2 (เชื้อก่อโรคโควิด) (คาดเดาได้ยาก และต้องเฝ้าดูการกลายพันธุ์)
2.1) ต้องพิจารณาถึงอัตราการแพร่โรค (R0 หรือ transmission rate) ถ้าแพร่โรคได้มาก แต่ไม่รุนแรง ไม่เพิ่มภาระทางด้านสาธารณสุข ก็น่าจะรับได้ หาก แต่ถ้าแพร่โรคได้น้อยคน แต่รุนแรงก็ยากจะรับไหว
2.2) ต้องพิจารณาอัตราป่วยตาย (case-fatality rate) รวมถึงกลุ่มอายุที่มีความเสี่ยงในการเสียชีวิต และการได้รับวัคซีนในการลดความรุนแรงของกลุ่มอายุเสี่ยงนั้นด้วย ถ้าคนแก่เยอะ ไม่ได้รับวัคซีนมากหลายคน ติดเชื้อมานอนโรงพยาบาลกันมาก ตายกันเยอะ ก็ไม่น่าจะเป็นโรคประจำถิ่นในพื้นที่นั้นแล้วในระดับพื้นที่ แต่ถ้าในภาพใหญ่ ต้องมีมาตรการเฉพาะพื้นที่ลงไปจัดการด้วย
2.3) ต้องดูอุบัติการณ์ (Incidence) เพราะบอกความเสี่ยงของของโรค การเกิดโรคในพื้นที่นั้นๆ หากมากกว่าปกติที่เคยเป็นในช่วงใดช่วงหนึ่งของปี ก็ให้พิจารณาถึง ฤดูกาล กิจกรรมทางสังคมร่วมด้วย
2.4) การกลายพันธุ์ของเชื้อ ซึ่งแน่นอนว่าต้องไม่กลายพันธุ์แล้วมีความรุนแรงในการก่อโรคมากขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว จำต้องเฝ้าดูต่อไป หากมีการระบาดก็ให้ประกาศเป็นการระบาดเฉพาะสายพันธุ์นั้น ในแง่ของไวรัสวิทยา [ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา กรุณาชี้แนะไว้] อีกประการคือ การวิวัฒนาการของสายพันธุ์ต้องเป็นในลักษณะ Selection (Imbalance phylogenetic tree) จึงจะเป็น endemic (รูปที่ 1A และ รูปที่ 2) เพราะการกลายพันธุ์ของไวรัสเป็นไปในลักษณะกลายพันธุ์รุ่นสู่รุ่น ติดง่ายและเร็วขึ้น แต่ความรุนแรงลดลง แต่หากเป็น No selection (Balance phylogenetic tree) (รูปที่ 1B และ รูปที่ 3)จะเป็นวิวัฒนาการที่คาดเดาได้ยากในธรรมชาติของเชื้อ ซึ่งอาจจะรุนแรงก็ได้   
2.5) การดำเนินโรคทั้งในระยะสั้นและระยะยาว หากมีภาวะแทรกซ้อนที่ไม่คืนกลับ หรือ ทำให้ทุกข์ทรมานนาน ทั้งนี้อาจจะขึ้นกับสายพันธุ์ที่กลายไปด้วย ก็พิจารณาประกาศเป็นโรคระบาดเฉพาะสายพันธุ์นั้นๆ

3) Environment (สิ่งแวดล้อม)
3.1) ต้องมีการประเมินความเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อม บริบททางสังคม วัฒนธรรมการดำเนินชีวิต หรือปัจจัยทางสังคมอื่นใดที่มาเอื้อต่อการสัมผัสโรค แม้นว่าประชากรจะมีการป้องกันตัวเองดีแล้ว ก็อาจจะสัมผัสโรคได้อีก ซึ่งถ้าควบคุมได้ การจะให้เป็นโรคประจำถิ่นก็ง่ายมาก ซึ่งไทยเราพยายามสร้างวัฒนธรรมการดำเนินชีวิตแบบใหม่คือ New normal อยู่แล้ว แต่ถ้าประชาชนไม่ร่วมมือ (ข้อ 1.3) ก็ต้องบังคับใช้กฎหมายควบคู่ด้วย
3.2) การบังคับใช้กฎหมายทั้งระดับบุคคลและสถานบริการ องค์กร ชุมชน ยังจำเป็นในช่วงเปลี่ยนผ่าน เพราะจะทำให้ข้อ 1) เป็นปัจจัยที่กำหนดจับวางได้ และ ข้อ 2) มีผลทางตรงกับประชากรที่มีความเสี่ยงไปทำให้เชื้อมันอยู่ในสังคมได้ลดลง (ผลทางอ้อมต่อเชื้อ) หากมีกฎหมาย หรือระเบียบข้อบังคับ ใดที่ช่วยลดการแพร่โรค

เมื่อโควิดเป็นโรคประจำถิ่นไปเสียแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น
1) ไวรัสยังคงอยู่กับเรา ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่อาจจะไม่ชุกชุมมากมายอย่างตอนระบาดเป็นวงกว้าง
2) ผู้ติดเชื้อจะยังคงมีอยู่ ในปริมาณที่ระบบสาธารณสุขสามารถรองรับได้
3) เมื่อทุกคนฉีดวัคซีนแล้ว การจัดการก็จะเหมือนกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล อาจจะมีผู้ป่วยก็จะเกิดขึ้นมากในหน้าฝน หน้าหนาว และจำนวนผู้ป่วยลดลงในหน้าร้อน
4) การรักษาพยาบาล น่าจะเอาอยู่ ลดความรุนแรง ลดการเสียชีวิต ได้ดีเหมือนอย่างในไข้หวัดใหญ่
5) ประชาชนอาจจะต้องระวังตัวมากขึ้นในการเคร่งครัดในมาตรการ โดยเฉพาะในฤดูการที่มีการระบาด เน้น Distancing; Masking; Hand washing; (ATK) Testing และ Vaccine อาจจะฉีดกันทุกปีต่อจากนี้
6) รัฐอาจจะไม่บังคับหรือเข้มงวดมากกับการบังคับให้ WFH หรือ การคัดกรองไข้และอาการ หรือ การจัดกิจกรรมรวมตัวกัน รวมถึงการสวมหน้ากากในที่สาธารณะ หรือขณะใช้ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ
7) ประชาชนจะชั่งใจได้เองว่า จะป้องกันตนเองระดับไหน จะปฏิบัติตนอย่างไร ตามมาตรการที่เคยเรียนรู้มาก่อนหน้าในช่วงระบาดหนัก เช่น ลดการไปร่วมกิจกรรมการรวมตัวกับคนหมู่มาก เป็นต้น

บทความโดย ดร.นพ.ภพกฤต ภพธรอังกูร แพทย์ระบาดวิทยา 
Picture
รูปที่ 1
Picture
รูปที่ 2
Picture
รูปที่ 3

FE skill topics

1. Public health surveillance
6. การบริหารจัดการบรรณานุกรมด้วย Mendeley
2. Outbreak investigation
7. การนำเสนอข้อมูลทางระบาดวิทยา
3. Epidemiological study
8. Data visualization 
4. ​Surveillance evaluation
9. การสื่อสารความเสี่ยงกับโรคอุบัติใหม่
5. Outbreak report writing
10. หลุมพรางในการนำเสนอข้อมูลทางระบาดวิทยา

เอกสารประกอบการสอนหลักสูตร CDCU ของ พ.อ.ดร.นพ.ภพกฤต ภพธรอังกูร

- ทีมตระหนักรู้สถานการณ์และทีมปฏิบัติการสอบสวนควบคุมโรค
- หลักระบาดวิทยาและธรรมชาติของการเกิดโรค
- การสอบสวนทางระบาดวิทยา 
- การเก็บตัวอย่างส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ 
- การเขียนรายงานรายงานสอบสวนโรค และการฝึกปฏิบัติการเขียนรายงานสอบสวนโรคเบื้องต้น
-การนำเสนอข้อมูลทางระบาดวิทยา (เพิ่มเติม)
-บทความฟื้นวิชา กรณีอาหารเป็นพิษ
-มาตราฐาน SAT & JIT กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค
- แนวทางการเขียนรายงานสอบสวนโรคฉบับสมบูรณ์สำหรับนักวิชาการสธ.
Picture
Picture
Picture
Proudly powered by Weebly
  • Field Epidem
  • COVID-19
  • IPC
  • Cottage
  • Provider
  • Heat Injury
  • SANITATION
  • *Army*
    • Task Force*
  • WEB Link
  • *CD situation*
  • Handouts*
    • Infographic
  • Healthy